เรียนภาษาอังกฤษอย่างไรให้เก่ง
พูดถึงการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในไทย
มีหลายแบบหลายประเภทให้เราเลือกเรียนเลือกทำตามอัธยาศัย
ไม่ทราบว่าพวกคุณๆทราบไหมว่ามันแบ่งออกเป็นกี่ประเภท
วันนี้ก็จะมาเล่าสู่กันฟัง จากประสบการณ์ติวมาหลายปี
พอจะแบ่งออกเป็น 4 ประเภท
กลุ่มแรกก็คือพวกมัธยมต้น ม.1 - 3 กลุ่มต่อมาเป็นมัธยมปลาย ม.4 - 6 ถัดมาเป็นพวกเรียนต่อปริญญาโท และกลุ่มสุดท้ายเป็นกลุ่มคนทำงาน
สำหรับพวกกลุ่มม.1 - 6 ส่วนใหญ่ก็จะไปเรียนกับติวเตอร์ ที่ตอนนี้ถือว่าเป็นท๊อปโฟร์ของวงการภาษาอังกฤษที่มียอดเด็กมาเรียนกันแบบถล่มทลาย นั่นก็คือ อ.สมศรี ,อ.แนน ,อ.ชัชชัย และดาวรุ่งดวงใหม่คืออ.ลูกก๊อล์ฟ
แต่ละคนแต่ละค่ายก็จะเน้นการสอนไม่เหมือนกัน จริงๆแล้วทุกอย่างย่อมมีองค์ประกอบของมันเองหรือโครงสร้าง หรือระบบที่จำเป็นที่แตกต่างกันไป
คือ ของทุกชนิดในโลกนี้ จะมีโครงสร้างที่จำเป็นต้องมีที่น้อยที่สุด
ส่วนโครงสร้างที่ไม่จำเป็นนั้น เราจะมีหรือไม่มีมันก็ได้ ส่วนหลังนี้จะเป็นแค่ของเสริมหรือของประดับตกแต่งซึ่งเราจะมีหรือไม่มีมันก็ได้
เช่น เวลาเราจะสร้างบ้านในราคาที่ถูกที่สุดนั้น เราก็จะคำนึงถึงแค่โครงสร้างแค่ห้าชนิด ก็คือ 1) ตอหม้อ 2) เสา 3) ผนัง 4) คาน และ5) หลังคา หมายถึงว่าของทั้งห้าอย่างนี้ ถ้าเราขาดอย่างหนึ่งอย่างใดไปไม่ได้ หรือเรามีมันแค่อย่างเดียวมันก็ไม่เรียกว่าบ้านนะครับ ส่วนพวกชุดเฟอร์นิเจอร์ทรงหลุยส์ หินอ่อนจากอิตาลี หรือสวนหินกรวดสไตล์ญี่ปุน ของเหล่านี้เป็น
แค่ส่วนเสริมไม่ใช่ส่วนหลัก เราจะมีมันหรือไม่มีมันก็ได้
ขยายความก็คือ ถ้าเรามี ตอหม้อ - เสา - ผนัง - คาน แต่ไม่มีหลังคา ทีนี้เวลาฝนตกลงมา บ้านก็เปียกนอง เราก็อยู่ไม่ได้ ทีนี้ถ้าเรามี ตอหม้อ - เสา - ผนัง - หลังคา
แต่ไม่มีคาน พอไม่มีคานเอาไว้รับน้ำหนักตัวหลังคา หลังคามันก็จะถล่มลงมาทับคนที่อยู่
ในบ้านได้
ทีนี้ถ้าเรามีโครงสร้างครบทั้งห้าส่วน ตอหม้อ - เสา - ผนัง - คาน - หลังคา
อาจจะราคาส่วนละแค่ห้าหมื่นบาท หรือเป็นวัสดุอุปกรณ์ที่กระจอกมากราคาถูกสุด รวมเป็นเงินก็แค่ 250,000 บาท เราก็สามารถสร้างบ้านได้แล้ว
แล้วบางคนทำไมมีเงินเป็นล้านบาท แต่กลับสร้างบ้านไม่ได้ซักที นั่นก็คือ พอคนนั้นมีเงินหนึ่งล้านบาท ก็ดันเอาเงินทั้งหมดไปซื้อ อาธิเช่นซื้อแค่เสาโรมันจาก
อิตาลี ผลก็คือมันได้แค่เสาในราคาหนึ่งล้านบาท แต่มันยังขาด ตอหม้อ - ผนัง - คาน - หลังคา ฉะนั้นมันก็กลายเป็นบ้านหาได้ไม่ คือถึงแม้เสาต้นนั้นจะทำจากทองคำทั้งต้นที่ดีและราคาแพงที่สุดในโลกแต่มันยังขาด ตอหม้อ - ผนัง - คาน - หลังคา ฉะนั้นมันก็กลายเป็นบ้านหาได้ไม่
จำไว้นะครับว่าราคามันจะถูกแพงแค่ไหนก็ตาม เราไม่สนใจมัน ถ้าองค์ประกอบมันครบหัาอย่าง ตอหม้อ - เสา - ผนัง - คาน - หลังคา มันก็เป็นบ้านได้นะครับ
คราวนี้ลองดูโครงสร้างของสิ่งอื่นๆดูนะครับ
เช่น
บ้าน ก็คือ ตอหม้อ - เสา - ผนัง - คาน - หลังคา
สุขอนามัยเบื้องต้น ก็คือ กินร้อน - ช้อนกลาง - ล้างมือ
เด็กที่เป็นออทิสติก จะมีลักษณะ ไม่่สบตา - ไม่พาที - ไม่ชี้นิ้ว
รถยนต์ ก็คือ ล้อ - ตัวถัง - เครื่องยนต์
เครื่องบิน ก็คือ ล้อ - ลำตัว - เครื่องยนต์ - ปีก - หาง
การปฏิรูปการศึกษา(Finland)ก็คือ ปฏิรูปหลักสูตร
ปฏิรูปครูและวิธีสอนของครู
ปฏิรูปวิธีวัดผลและประเมินการเรียนรู้ของนร.
ปฏิรูปด้านปัจจัยสนับสนุนการศึกษา
น้ำ ก็คือ H2O = ไฮโดรเจน 2 ตัวและอ็อกซิเจน 1 ตัว
ฉะนั้นเวลาเช็คว่าน้ำนั้นมันสะอาดบริสุทธิ์หรือไม่ ก็จะเช็คค่าอ๊อกซิเจน ถ้ายิ่งมากก็ยิ่งดี ไม่ได้เช็คค่าโปแตสเซียม ไนโตรเจนหรือสารตัวอื่นๆเลย
ตอนเป็นเด็กๆผมก็สงสัยว่าทำไมไม่เช็คสารตัวอื่นๆ
และครูทั่วไปก็ไม่ได้อธิบายถึงองค์ประกอบหรือโครงสร้าง หรือระบบที่มัน
ควรจะเป็น
ควรจะเป็น
ส่วนใหญ่คนไทยไม่ค่อยเข้าใจเรื่ององค์ประกอบหรือระบบมากมายเท่าไหร่นัก นึกจะทำอะไรก็ทำเลย เลยไม่ค่อยประสบความสำเร็จ
ตรงนี้ก็จะกลายเป็น KPI ที่บริษัทฝรั่งต่างๆใช้ประเมิณผลงานของพนัก
งานบริษัทนั่นเอง ตัวเต็มของ KPI ก็คือ Key Performance Indicator ถ้าจะแปลเป็นไทยๆน่าจะได้แก่ ดัชนีหลักวัดความสำเร็จ
งานบริษัทนั่นเอง ตัวเต็มของ KPI ก็คือ Key Performance Indicator ถ้าจะแปลเป็นไทยๆน่าจะได้แก่ ดัชนีหลักวัดความสำเร็จ
พูดมายืดยาว นั่นก็คือ ผมเห็นติวภาษาอังกฤษกันมา 1 เดือน ครึ่งปี 1 ปี
5 ปี จนถึง 10 ปี เคยรู้ไหมครับว่าภาษาอังกฤษมีองค์ประกอบกี่ชนิด
5 ปี จนถึง 10 ปี เคยรู้ไหมครับว่าภาษาอังกฤษมีองค์ประกอบกี่ชนิด
และแต่ละชนิดมีวิธีการฝึกกี่แบบ ฝึกกี่พันข้อหรือหมื่นข้อ ผมเห็นแต่ละคน
เรียนกันไปเรียนกันหนัก เสียเงินหลายหมื่นหลายแสน เสียเวลาหลายเดือนหลายปีจนถึงหลายสิบปี
เรียนกันไปเรียนกันหนัก เสียเงินหลายหมื่นหลายแสน เสียเวลาหลายเดือนหลายปีจนถึงหลายสิบปี
ก็ยังไปไม่ถึงไหน
ภาษาอังกฤษมีองค์ประกอบ(หรือระบบหรือโครงสร้าง)ที่ต้องรู้
ดังนี้ครับ
องค์ประกอบภาษาอังกฤษ
1) ศัพท์ (Vocabulary)
2) การออกเสียง (Pronunciation)
3) ไวยกรณ์ (Grammar)
4) โครงสร้างประโยค (Word ,Phrase ,Clause & Sentence)
5) ศัพท์พิเศษ (Antonym ,Synonym ,Hyponym ,Phrasal Verb & Idiom)
6) รากศัพท์ (Root ,Prefix & Suffix)
7) การฟัง (Listening)
8) การพูด (Speaking)
9) การอ่าน (Reading)
10) การเขียน (Writing)
11) การแปล (Translation)
คราวนี้ พวกคุณๆ อยากจะเก่งด้านไหนละก็ไปพัฒนาฝึกฝนด้านนั้นๆ
ให้มันคล่องให้มันชำนาญ ให้เก่ง ให้จนเป็นเลิศในด้านนั้นๆ
ให้มันคล่องให้มันชำนาญ ให้เก่ง ให้จนเป็นเลิศในด้านนั้นๆ
น่าจะแบ่งได้คร่าวๆว่าข้อ 1 - 4 เป็นพื้นฐานที่จะนำไปสู่การปฏิบัติข้อ 5 - 11
ฉะนั้นแล้วพวก ศัพท์ - การออกเสียง - ไวยกรณ์ - โครงสร้างประโยค
ควรจะแน่นปึก
ควรจะแน่นปึก
ก็จะต่อยอดไปสู่ ศัพท์พิเศษ - รากศัพท์ - ฟัง - พูด - อ่าน - เขียน -
แปล ได้อย่างสบายๆ
แปล ได้อย่างสบายๆ
ทีนี้ถ้าไปเรียน ฟัง - พูด - อ่าน - เขียน - แปล โดยที่ฐานข้อ 1- 4ไม่แน่น
ก็เรียนได้ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด แต่ผู้เรียนก็จะเจอกับปัญหาเวลาอาจารย์อธิบายเป็นหลักการหรือทฤษฎีขึ้นมาก็อาจจะพาลงงเอาได้
ก็เรียนได้ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด แต่ผู้เรียนก็จะเจอกับปัญหาเวลาอาจารย์อธิบายเป็นหลักการหรือทฤษฎีขึ้นมาก็อาจจะพาลงงเอาได้
ยกตัวอย่างพวกที่มีโครงสร้างที่ดี
ตัวอย่างที่สงสัยกันมากว่า ป.ตรีเอกภาษาอังกฤษระดับTop Twoของไทย
ทำไมไม่มีสถาบันไหนเอาชนะ อักษรศาสตร์จุฬา และศิลปศาสตร์ธรรมศาสตร์ได้ ในรอบสี่สิบปี
ที่ผ่านมา
มีท่านหนึ่งอ่านเจอในพันทิพ เปรียบเทียบไว้ดีมากว่า
เรามีกุ้งอยู่สักร้อยกิโลกรัม ทางจุฬากับมธ.ก็คัดเอาตัวที่อวบอ้วนใหญ่สุด
และดีที่สุดไปแล้วคนละห้าสิบตัว
แล้วก็ให้พ่อครัวระดับมิชลินสามดาวมาปรุงอาหารจากกุ้งเหล่านี้
ร้านอาหารทั่วโลก จะมีแค่ 0.01%เท่านั้ที่จะได้ระดับมิชลินสามดาว
พวกคุณๆว่าอาหารมื้อนี้จะอร่อยไหม?
ส่วนเอกภาษาอังกฤษของมหาวิทยาลัยอื่นๆ
จะได้กุ้งที่แทบจะเลือกไม่ได้ เพราะถูกเค้าคัดเอาไปแล้ว
สุดท้ายตัวเองก็ได้กุ้งมาประมาณแห่งละ ห้าสิบตัว
แล้วก็มาปรุงจากพ่อครัวที่เลือกไดัน้อย
พวกคุณๆว่าอาหารมื้อนี้จะอร่อยไหม?
ตัวกุ้งก็เปรียบเสมือนกับเหล่านักเรียนระดับหัวกะทิจากทั่วประเทศ
ส่วนพ่อครัวมิชลินก็เปรียบกับอาจารย์ระดับเกรดเอ
ว่ากันว่า เทอมหนึ่งอาจารย์สั่ง assignment ให้อ่านหนังสือภาษาอังกฤษหลายสิบเล่ม มีการกดเกรด ให้เกรดอิงตามกลุ่ม บางคนได้คะแนน 85 กลับได้แค่ B
เพราะในห้องมีคนได้คะแนนเต็ม 100 หลายคน คนอื่นๆก็เลยถูกกด
เกรดให้ต่ำลงไป นี่ถ้าเป็นมหาลัยอื่น คะแนนระดับ 85 คงจะ A และก็ท๊อปของห้องด้วย
นักเรียนที่มาเรียนเอกอิ๊งเหล่านี้ จะได้คะแนน ONET 75 คะแนนขึ้นไป
และทราบไหมครับว่าค่าเฉลี่ยคะแนน ONET เป็นยังไง
เป็นอย่างนี้ครับ คะแนน ONET ปี 2557 100 คะแนนเต็ม
22 คะแนน = ค่าเฉลี่ยทั้งประเทศ
มากกว่าหรือเท่ากับ 50 คะแนน = 4% ของนร.ทั้งประเทศ
มากกว่าหรือเท่ากับ 60 คะแนน = 2% ของนร.ทั้งประเทศ
มากกว่าหรือเท่ากับ 70 คะแนน = 1% ของนร.ทั้งประเทศ
มากกว่าหรือเท่ากับ 80 คะแนน = 0.5% ของนร.ทั้งประเทศ
เห็นคะแนนแล้วคงจะพอบอกอะไรได้บ้างนะครับ
นั่นก็คือเด็กที่เข้าเรียนในจุฬาและมธ. มีพื้นฐาน ศัพท์ - การออกเสียง -
ไวยกรณ์ - โครงสร้างประโยค มาในระดับดีมากๆ พอมาเจอครูที่เก่ง และหลักสูตรที่เข้มข้นสุดสุด มาเคี่ยวบ่มอีก สี่ - ปี - เต็ม บวกกับสภาพแวดล้อมท่ามกลางคนเก่งที่มาจากทั้งประเทศ มันก็เป็นอย่างที่เราเห็นนะครับท่านผู้ชมครับ
ทีนี้ถ้าใครอยากจะวัดความรู้ภาษาอังกฤษ ว่าของเราดีแค่ไหน
ผมขอแนะนำ TU-GET ของม.ธรรมศาตร์
เสียค่าสอบแค่ 500 บ. สอบทุกวันอาทิตย์ปลายเดือนของทุกเดือน จะสอบ 12 ครั้งต่อปี ทั้งหมด 1000 คะแนน ผมดูแล้วมาตรฐานเท่ากับ IELTS หรือ TOEFL(ค่าสอบ 7,000 บ.) ได้เลยละครับ คะเเนนมาตรฐานTU-GETที่ทางม.ธรรมศาสตร์รับนักศึกษาจะอยู่ที่ 550 คะแนนครับ
ทีนี้ใครอยากเก่งๆหรืออยากเป็นครูก็ควรจะได้ 850 คะแนนนะครับ
ฉะนั้น ผู้ปกครอง นักเรียน นักศึกษา ข้าราชการ และคนทั่วไป ถ้าว่าง
ก็น่าจะลองดูนะครับ
ก็น่าจะลองดูนะครับ
เอ๊า ผมออกนอกเรื่องไปซะเยอะ
วกกลับเข้ามาเกี่ยวกับหนังสือที่เราพอจะซื้อกันได้บ้าง
หนังสือหนังหาที่ขายกันในท้องตลาดก็หาได้ไม่ยาก ตัวผมเองก็ทยอยซื้อเก็บไว้หลายร้อยเล่ม
อย่าเพิ่งตกใจซื้อเยอะแบบนั้น เพราะผมเองเก็บมากว่า 30 ปีแล้ว
ถ้าประหยัดๆก็ซื้อเฉพาะเล่มเทพๆชั้นเลิศก็แล้วกัน เล่มที่เป็นปัญหาอาจจะเป็นพวกนส.เกี่ยวกับการออกเสียง โครงสร้างประโยค และรากศัพท์กรีกกับละติน อาจจะหาซื้อได้ยากสักหน่อย ก็ลองพยายามหาดูหาซื้อเอานะครับ
ไว้ตอนต่อๆไปอาจจะแนะนำเล่มที่เยี่ยมๆเอาไว้ให้เป็นเจ้าของกัน ไปสังเกตดูนะครับ อาจารย์หรือติวเตอร์ที่สอนภาษาอังกฤษให้เราก็ไม่มีใครเก่งได้ทั้ง 11 ข้อ มีเหมือนกันแต่น้อย ส่วนใหญ่ก็จะเก่งบางด้าน แล้วก็เน้นด้านนั้นๆ จนเป็นเลิศ
ถ้าเป็นผมแนะนำก็อยากให้พวกคุณๆเก่งพื้นฐาน 4 ข้อแรกก่อน
แล้วค่อยมาเรียน ฟัง - พูด - อ่าน - เขียน - แปล มันก็จะง่ายครับ
ส่วนจะเรียนเองหรือเรียนตามสถาบันก็แล้วแต่สะดวก ถ้าเราได้สถาบันดีๆ
ราคาไม่แพงหรือฟรี ยิ่งดีครับ แต่อาจจะหายากสักหน่อย
ราคาไม่แพงหรือฟรี ยิ่งดีครับ แต่อาจจะหายากสักหน่อย
ที่นี้ถ้าเราเรียนเองก็ต้องหาซื้อหนังสือเล่มง่ายๆ พื้นฐานๆเพื่อเราจะได้
ต่อยอดได้ง่าย ทีนี้สำหรับคุณๆที่เก่งอยู่แล้วแต่เชื่อว่าไม่น่าจะครอบคลุมทั้ง 11 ข้อนะครับ
ต่อยอดได้ง่าย ทีนี้สำหรับคุณๆที่เก่งอยู่แล้วแต่เชื่อว่าไม่น่าจะครอบคลุมทั้ง 11 ข้อนะครับ
ตัวผมเองก็ฝึกทั้ง 11 ข้อนั้นละครับ ซื้อหนังสือ ซีร็อก ทำชีท เป็นร้อย
เป็นพันข้อหรือเป็นหมื่นข้อ ทำเป็นชีทจนได้เกือบ 500 ชุด
เป็นพันข้อหรือเป็นหมื่นข้อ ทำเป็นชีทจนได้เกือบ 500 ชุด
แล้วก็เก็บเข้าแฟ้มทั้งหมด 11 หมวดเอาไว้
เวลาจะใช้งานก็หยิบออกมาจากหิ้งหนังสือ ก็เสียเวลานานหลายสิบปี
ผมว่าพวกเริ่มต้นใหม่ๆ การทำเป็นแฟ้มเก็บไว้ก็มีความสำคัญนะครับ อันนี้ผมก็เลียนแบบมาจากอ.วีระ ธีรภัทร แกเก่งสรุปข่าวเพราะตัดแปะเข้าแฟ้มเรื่องต่างๆแยกเป็นประเภทเอาไว้ ตั้งแต่ปี 2521 โน้นแน๊ะ ทำเป็นแฟ้มหุ้น แฟ้มการเมือง และอื่นๆทำนองนี้ เวลาจะหยิบใช้ ก็ง่ายสะดวก
คราวนี้พวกคุณๆละ ใน 11 เรื่องอยากเก่งเรื่องไหนครับ!!!
อยากเก่งเรื่องไหนก็ให้เริ่มจากเรื่องนั้นก่อน
ถ้าเป็นใจผม ผมอยากให้เราเริ่มที่ศัพท์ก่อนนะครับ
เริ่มต้น ไม่ต้องเสียเงินคัรบ
เข้าไปที่ คำศัพท์สับสนภาษาอังกฤษ GAT 1000 คำ
รากศัพท์ภาษาอังกฤษ GAT 274 คำ
รากศัพท์ภาษาอังกฤษ GAT 274 คำ
รับรองได้เรื่องครับ!!!
เขียนโดยครูชากำแพงราม